ชายแดนไทย–เมียนมา สถานการณ์ปนเปื้อนโลหะหนัก เร่งสร้างความรู้ความเข้าใจแก่ชุมชนสองฝั่งน้ำ











ที่ห้องประชุมสาละวิน องค์การบริหารส่วนตำบลแม่สามแลบ อำเภอสบเมย จังหวัดแม่ฮ่องสอน สมาคมฟื้นฟูและพัฒนาลุ่มน้ำสาละวิน ได้จัดกิจกรรมลงพื้นที่แม่น้ำสาละวินบริเวณพรมแดนไทย–เมียนมา ในพื้นที่อำเภอแม่สะเรียงและอำเภอสบเมย เพื่อเก็บข้อมูลและแลกเปลี่ยนสถานการณ์กรณีการปนเปื้อนสารโลหะหนักในแม่น้ำสาละวิน
ภายในกิจกรรมมีการจัดประชุมแลกเปลี่ยนข้อมูลและให้ความรู้แก่ประชาชนที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำสาละวินทั้งฝั่งประเทศไทยและฝั่งรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา โดยมีนักวิชาการ นักวิจัย เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม และสื่อมวลชนหลายสำนักเข้าร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
น.ส.เพียรพร ดีเทศน์ กรรมการบริหารมูลนิธิแม่น้ำและสิทธิ (Rivers & Rights) กล่าวว่า แม่น้ำสาละวินเป็นพื้นที่เชื่อมโยงวิถีชีวิตของชุมชนกะเหรี่ยงทั้งสองฝั่งพรมแดน แต่ประชาชนกลับได้รับข้อมูลเกี่ยวกับสถานการณ์คุณภาพน้ำอย่างจำกัด อีกทั้งผลการตรวจวัดจากหลายหน่วยงานยังให้ข้อมูลไม่สอดคล้องกัน ขณะที่การตรวจของทีมวิจัยมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ในช่วงฤดูน้ำหลากเดือนกันยายนที่ผ่านมา พบการปนเปื้อนสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน จากการติดตามพื้นที่ต้นน้ำพบการทำเหมืองทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ เมื่อเกิดฝนตก ตะกอนและสารพิษจะถูกชะล้างลงสู่ลำน้ำ ส่งผลให้คุณภาพน้ำลดลงและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อสุขภาพในระยะยาว แม้ปัจจุบันประชาชนจะยังไม่ได้นำน้ำจากแม่น้ำสาละวินมาใช้เพื่อการดื่มโดยตรง แต่จำเป็นอย่างยิ่งที่ภาครัฐต้องสื่อสารข้อมูลอย่างชัดเจน เพื่อให้ชุมชนสามารถป้องกันและรับมือกับผลกระทบได้อย่างทันท่วงที
นายนิวัฒน์ ร้อยแก้ว ประธานกลุ่มรักษ์เชียงของ และผู้อำนวยการสถาบันองค์ความรู้ท้องถิ่นโฮงเฮียน กล่าวว่า แม่น้ำโขงและแม่น้ำสาละวินเป็นแม่น้ำพี่น้องที่มีต้นกำเนิดจากเทือกเขาหิมาลัยเหมือนกัน แต่ลุ่มน้ำโขงต้องเผชิญกับการสร้างเขื่อนต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน ส่งผลให้ความอุดมสมบูรณ์และความมั่นคงทางอาหารลดลงอย่างชัดเจน พร้อมเตือนว่า ปัจจุบันปัญหาการปนเปื้อนสารพิษจากกิจกรรมเหมือง ซึ่งมีแหล่งกำเนิดข้ามพรมแดนและเชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมโลก เป็นภัยคุกคามที่รุนแรงยิ่งกว่า หากไม่เร่งสร้างความร่วมมือในระดับลุ่มน้ำและอนุภูมิภาค ผลกระทบจะย้อนกลับมาทำลายวิถีชีวิตและสุขภาพของประชาชนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ขณะที่ ผศ.ดร.ว่าน วิริยา คณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยว่า จากการตรวจคุณภาพน้ำแม่น้ำสาละวินอย่างต่อเนื่องจำนวน 4 ครั้ง พบการปนเปื้อนโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในหลายจุด โดยเฉพาะสารหนู ซึ่งมีแนวโน้มเชื่อมโยงกับกระบวนการทำเหมืองในพื้นที่ต้นน้ำที่ใช้สารเคมีรุนแรงในการสกัดแร่ สารเคมีส่วนเกินจะถูกปล่อยทิ้งและไหลลงสู่ลำน้ำ ส่งผลให้โลหะหนักสะสมในน้ำ ตะกอน และระบบนิเวศ ผลกระทบจากโลหะหนักอาจไม่แสดงอาการในระยะสั้น แต่จะสะสมผ่านห่วงโซ่อาหารจากสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กไปสู่ปลาและกุ้ง ก่อนย้อนกลับมาสู่มนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มที่ใช้น้ำและบริโภคสัตว์น้ำจากแม่น้ำเป็นประจำ จากการตรวจตัวอย่างพบว่า กุ้งตรวจพบสารพิษในส่วนหัว ส่วนปลาพบในส่วนหัว พุง และอวัยวะภายใน ขณะที่หอยในแม่น้ำสาละวินยังไม่มีการเก็บตัวอย่างไปตรวจ
ด้าน สมพร เพ็งค่ำ นักวิจัยอิสระและผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน กล่าวว่า สารพิษหลักที่พบในแม่น้ำสาละวินคือสารหนู ซึ่งเป็นโลหะหนักที่พบได้ทั้งในตะกอนและน้ำ โดยเฉพาะช่วงน้ำขุ่นหรือน้ำหลากจะมีความเสี่ยงสูง สารหนูสามารถเข้าสู่ร่างกายได้จากการบริโภคอาหารและน้ำ รวมถึงการซึมผ่านผิวหนังหรือเยื่ออ่อน โดยเฉพาะในเด็กเล็กหรือผู้ที่มีบาดแผล สารหนูมักไม่แสดงอาการในทันที แต่จะสะสมในร่างกายจากการรับสัมผัสซ้ำ ๆ เป็นเวลานาน และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังและโรคมะเร็งหลายชนิด เช่น มะเร็งผิวหนัง ตับ ไต ปอด และกระเพาะปัสสาวะ จึงควรลดการรับสารพิษตั้งแต่ต้นทาง ทั้งการใช้น้ำและการบริโภคปลาและผักจากลุ่มน้ำ เพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพในระยะยาว
จากการตรวจพบการปนเปื้อนสารหนูหรือโลหะหนักในแม่น้ำสาละวินเกินค่ามาตรฐาน ส่งผลให้ประชาชนทั้งสองฝั่งแม่น้ำเกิดความกังวลต่อการบริโภคสัตว์น้ำและพืชริมแม่น้ำ ซึ่งเป็นอาหารหลักในชีวิตประจำวัน โดย ผศ.ดร.ว่าน วิริยา แนะนำว่า ไม่ได้ห้ามบริโภคโดยเด็ดขาด แต่สามารถลดความเสี่ยงเฉพาะหน้าได้ เช่น การกรองน้ำก่อนนำไปใช้ หลีกเลี่ยงการบริโภคส่วนของสัตว์น้ำที่สะสมโลหะหนักสูง ได้แก่ หัว พุง และเครื่องในปลา โดยสามารถรับประทานเนื้อปลาได้ ส่วนกุ้งควรหลีกเลี่ยงการบริโภคส่วนหัว รวมถึงงดการบริโภคผักที่ปลูกริมแม่น้ำหรือใช้น้ำจากแม่น้ำสาละวินรดจนกว่าจะมีผลการตรวจยืนยันเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ได้มีการเก็บตัวอย่างพืช ผัก ดิน และโคลนที่อยู่ริมแม่น้ำสาละวินเพื่อนำไปตรวจวิเคราะห์สารปนเปื้อนอย่างละเอียดอีกครั้ง เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับชุมชน
จากที่มีมีการสาธิตและฝึกสอนการตรวจหาสารพิษปนเปื้อนในน้ำเบื้องต้นด้วยชุดตรวจเฉพาะ โดยทดลองตรวจ 2 ชุด ได้แก่ น้ำดื่มสะอาดทั่วไป และน้ำที่ตักจากแม่น้ำสาละวิน ใช้เวลาประมาณ 20 นาที ผลปรากฏว่า แผ่นทดสอบน้ำจากแม่น้ำสาละวินเปลี่ยนจากสีขาวเป็นสีเหลืองอ่อน ขณะที่น้ำดื่มสะอาดยังคงเป็นสีขาวเช่นเดิม คณะนักวิชาการ นักวิจัย เครือข่ายด้านสิ่งแวดล้อม และสื่อมวลชน ได้ร่วมกันล่องเรือตามลำน้ำสาละวิน เพื่อเก็บตัวอย่างน้ำ ทราย และดินโคลนในหลายจุด พร้อมพักค้างคืนในพื้นที่อำเภอสบเมย
ผลจากที่ได้มีการให้ความรู้ แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับชาวบ้านในพื้นที่อำเภอสบเมย และเก็บตัวอย่างพืชผักหลากหลายชนิดที่ชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นประจำ เพื่อนำไปตรวจหาสารปนเปื้อนเพิ่มเติม สร้างความมั่นใจและความเข้าใจแก่ชุมชนต่อสถานการณ์คุณภาพน้ำและความปลอดภัยด้านอาหารในลุ่มน้ำสาละวิน
///////////////////
วิรัตน์ นันทะพรพิบูลย์ จะ.แม่ฮ่องสอน
☎️ 0895613777
Share this content:
