นครพนม แสงแห่งศรัทธาและเศรษฐกิจ! รมว.ชาบีดา เป็นประธาน เปิดมหกรรม “ไหลเรือไฟโบราณ” สักการะพระธาตุพนม เชื่อมสายสัมพันธ์สองฝั่งโขง ไทย-ลาว










วันที่ 8 ตุลาคม 2568 ค่ำคืนแห่งศรัทธาและความงดงามอันศักดิ์สิทธิ์กลับมาอีกครั้ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำโขง อ.ธาตุพนม จังหวัดนครพนม ภายใต้แสงไฟอันเรืองรองและบรรยากาศอันอบอวลไปด้วยความเชื่อมั่น ในงาน “ไหลเรือไฟโบราณสักการะบูชาพระธาตุพนม เชื่อมสัมพันธ์สองฝั่งโขง ไทย-สปป.ลาว” ประจำปี 2568 ซึ่งได้รับการเปิดอย่างเป็นทางการโดย นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ณ ลานชมโขง หน้าโรงแรมธาตุพนมริเวอร์วิว อ.ธาตุพนม เหล่าคณะผู้บริหารระดับสูง ทั้ง นายประสพ เรียงเงิน ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม, นายแพทย์อลงกต มณีกาศ ส.ส.นครพนม, นายวรวิทย์ พิมพนิตย์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม, นายปรีชา มณีสร้อย นายอำเภอธาตุพนม พร้อมด้วยหัวหน้าส่วนราชการ และประชาชนชาวไทย-ลาวจากสองฟากฝั่งโขง ต่างร่วมใจกันเป็นสักขีพยานในพิธีอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์นี้
จากรากเหง้าสู่สายน้ำแห่งศรัทธา: พิธีกรรมอันเป็นมงคล
ก่อนจะถึงช่วงไฮไลต์ พิธีได้เริ่มต้นด้วยการสักการะพระรัตนตรัย การสมาทานศีล และการเจริญพระพุทธมนต์ จากนั้นจึงเข้าสู่ขั้นตอนสำคัญอย่าง พิธี “จ้ำเคราะห์” หรือสะเดาะเคราะห์ตามปีนักษัตร อันเป็นความเชื่อดั้งเดิมของชาวลุ่มน้ำโขง เพื่อขจัดปัดเป่าเคราะห์กรรมและเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต
แสงสว่างกลางสายน้ำ: การปล่อยเรือไฟโบราณและกระทงสาย
เมื่อถึงเวลาอันควร นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ได้เป็นประธานในพิธีปล่อย “เรือไฟโบราณ” และ “กระทงสาย (ญานาค – กะโป๊ว)” ลงสู่แม่น้ำโขง เพื่อเป็นการขอขมาพระแม่คงคา และเป็นสัญลักษณ์ของการปลดปล่อยทุกข์โศกให้ไหลไปตามสายน้ำแห่งศรัทธา
ความตระการตาปรากฏขึ้นเมื่อ เรือไฟโบราณทั้ง 12 ลำ ซึ่งแต่ละลำแทนปีนักษัตรทั้ง 12 ถูกปล่อยลงน้ำ พร้อมกันนั้น การแสดงฟ้อนรำอันอ่อนช้อยจากกลุ่มแม่บ้านอำเภอธาตุพนม ได้ถ่ายทอดความงามของวัฒนธรรมท้องถิ่นริมโขง บรรดาเรือไฟที่ลอยลำสว่างไสวเป็นสายกลางแม่น้ำโขง สื่อถึงความผูกพันและความสามัคคีของสองแผ่นดิน ไทย และ สปป.ลาว
รมว.วัฒนธรรม ประกาศเจตนารมณ์ ยกระดับวัฒนธรรมสู่ “พลังเศรษฐกิจ”
นางสาวซาบีดา ไทยเศรษฐ์ กล่าวในโอกาสนี้ว่า “รัฐบาลมุ่งมั่นผลักดันวัฒนธรรมไทยให้ก้าวไกลสู่ระดับสากล ผ่านนโยบาย ‘ไท ไทย’ โดยใช้พลังทางวัฒนธรรมเป็นเครื่องมือสร้างรายได้ที่แท้จริงให้ประชาชน” พร้อมย้ำว่าประเพณีไหลเรือไฟไม่ใช่เพียงพิธีกรรมทางศรัทธา แต่คือ “พลังทางเศรษฐกิจของชุมชน” ที่เชื่อมโยงอดีตกับปัจจุบัน และสามารถต่อยอดสู่การท่องเที่ยว ผลิตภัณฑ์วัฒนธรรม และอุตสาหกรรมสร้างสรรค์ได้อย่างยั่งยืน
“การยกระดับเทศกาลเรือไฟสู่ระดับโลก สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ ‘สืบสาน สร้างสรรค์ นำวัฒนธรรมไทยสู่อนาคตอย่างยั่งยืน’ ตามแนวคิด ROOT to RICH – จากรากเหง้าสู่รายได้ เพื่อขับเคลื่อนวัฒนธรรมไทยให้เป็นพลังแห่งความภาคภูมิใจบนเวทีโลก” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม กล่าวทิ้งท้าย
สัญลักษณ์แห่งความร่วมมือ: ไข่พญานาคและสายใยสองฝั่งโขง
ภาพแห่งความประทับใจในค่ำคืนนี้ คงไม่เกินจริงไปกว่าการปล่อย ไข่พญานาค กระทงสาย และเรือไฟโบราณ 12 นักษัตร ร่วมกัน ซึ่งไม่เพียงสะท้อนถึงความศรัทธาเท่านั้น แต่ยังเป็นภาพแห่งความร่วมมือของสองประเทศที่มีสายใยทางวัฒนธรรมร่วมกันมาช้านาน สื่อสารถึงความสงบร่มเย็นและความเจริญรุ่งเรืองของชุมชนสองฝั่งแม่น้ำโขง
งานประเพณีไหลเรือไฟนครพนม จึงมิใช่เพียงเทศกาลบนความเชื่อ แต่คือการทบทวนคุณค่าของรากเหง้า การสืบสานภูมิปัญญา และการสร้างสรรค์มรดกวัฒนธรรมให้มีชีวิตชีวา เป็นประเพณีที่ควรค่าแก่การรักษาและส่งเสริมให้คนรุ่นหลังได้เรียนรู้สืบไป
ข่าว/ภาพประทีป วชิระธัญญากุลผู้สื่อข่าวภูมิภาคจังหวัดนครพนมโทร084-934075-0
Share this content:
