ปทุมธานี เอกสายไหม บุกช่วยเเม่ลูก ถูกพ่อเลี้ยงทำร้าย







เมื่อเวลา 13.00 น. วันที่ 27 มิ.ย. นายเอกภพ เหลือประเสริฐ ผู้ก่อตั้งเพจสายไหมต้องรอด ได้ลงพื้นที่ พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.คลองหลวง และนางสาวสุภชา พรหมศร หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี เพื่อช่วยเหลือ 3 แม่ลูกที่ถูกสามีใหม่ ทำร้ายร่างกาย เหตุเกิดภายในห้องเช่า 2 ชั้น ไม่มีชื่อ เลขที่ 12/169 ภายในซอยคลองหลวง 13 (ซอยศุภมิตร) ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี
นางสาวส้ม (นามสมมติ) อายุ 30 ปี ผู้ร้องเรียน / เพื่อนแม่เด็ก เผยว่า นางสาวอุ้มซึ่งเป็นเพื่อนของตน (แม่เด็ก) ได้คบหากับนายไผ่ (พ่อเลี้ยง / ผู้ก่อเหตุ) ได้ประมาณ 3-4 เดือน ซึ่ง ณ ตอนแรกฝ่ายชายก็ดูรักลูกเลี้ยงเป็นอย่างดี จนกระทั่งช่วงเวลาประมาณสองเดือนก่อนหน้านี้ ฝ่ายชายก็เริ่มมีพฤติกรรมหาชวนนางสาวอุ้มทะเลาะ และทำร้ายร่างกายนางสาวอุ้มบ่อยครั้ง ซึ่งส่วนมากจะเป็นปัญหาเล็กๆ น้อยๆ
จนกระทั่งช่วงเดือนประมาณพฤษภาคมที่ผ่านมา ฝ่ายชายเริ่มมีพฤติกรรมทำร้ายร่างกายลูกเลี้ยงทั้ง 2 คน เวลาเด็กร้องไห้ หรือทำอะไรไม่พอใจก็จะทุบตีทำร้ายตามภาพคลิปกล้องวงจรปิด ซึ่งนางสาวอุ้มก็เคยมาปรึกษาปัญหา ระบายปัญหาให้ตนกับกลุ่มเพื่อนฟังเป็นประจำ ตนก็เคยได้มีการแนะนำให้นางสาวอุ้มเลิกรากับฝ่ายชาย แต่นางสาวอุ้มกลับไม่กล้า เพราะฝ่ายชายเคยมีการกลุ่มขู่ประมาณว่า ถ้าเลิกรากันนั้นจะฆ่านางสาวอุ้มและลูกทิ้ง
โดยก่อนหน้านี้ตนได้มีการติดต่อพูดคุยกับทางพ่อแท้ ๆ ของเด็ก แต่ทางพ่อของเด็กก็ปฏิเสธให้การช่วยเหลือ พร้อมบอกกับตนประมาณว่า “ ไม่ต้องส่งอะไรมาให้แล้ว ไม่อยากรับรู้อะไรแล้ว”
สำหรับนิสัยใจคอของนายไผ่ นั้น เขาเป็นคนใจร้อน และทางผ่านเพื่อนของตนก็เคยมีการมาเล่าว่า นายไผ่ถูกครอบครัวเลี้ยงมากับความรุนแรงถูกทุบตี และทำร้ายมาตลอด จึงทำให้นิสัยใจคอเขาดูเป็นคนโหดร้าย บางครั้งถึงขั้นนั่งกรีดตัวเองเล่น ซึ่งตนมองว่า มันไม่ใช่คนปกติ และเท่าที่ทราบฝ่ายชายมีการเล่นกัญชา / ส่วนนิสัยใจคอเพื่อนของนางสาวอุ้มนั้น เขาเป็นเพื่อนที่ดี ก่อนหน้านี้รักหลงและฝ่ายชายมากเกินไป เพื่อนเตือนอะไรก็ไม่ค่อยฟัง จึงทำให้ระยะหลังๆ ตนไม่ค่อยติดต่อพูดคุยกับนางสาวอุ้มเท่าไรนัก
ในส่วนสาเหตุที่ตนต้องออกมาร้องขอความช่วยเหลือกับทางเพจสายไหมนั้น ตนสงสารเพื่อนและหลานทั้งสองคนเป็นอย่างมาก อยากให้หลุดพ้นกับฝ่ายชายสักที หากถามว่า ตนรู้สึกกังวลในเรื่องความปลอดภัยของตนเองหรือไม่นั้น ตนยอมรับว่ารู้สึกกังวล แต่ก็ยังอยากจะช่วยเพื่อนและหลาน
โดยตอนที่เข้าไปช่วยเหลือนั้น ได้มีนายมานพ รุ่งเรือง อายุ 72 ปี คุณตา ซึ่งพักอาศัยอยู่ด้านล่าง ส่วนผู้ก่อเหตุทราบชื่อ นายชัยพร ประชาสุข หรือไผ่ อายุ 28 ปี ซึ่ง พักอาศัยอยู่ที่ด้านบนกับนางสาวนันทวดี รุ่งเรือง อายุ 29 ปี และเด็กชายวัย 2 ขวบเศษ ส่วนเด็กชาย 7 ขวบไม่อยู่บ้านเนื่องจากไปโรงเรียน เจ้าหน้าที่จึงได้เรียกตัวทั้งหมดที่อยู่บนบ้านลงมา
จากการพูดคุยสอบถาม นายชัยพร ประชาสุข หรือไผ่ อายุ 28 ปี ก็ให้การยอมรับว่าตนเองเป็นคนทำร้ายเด็กจริงเนื่องจาก ทำไปด้วยอารมณ์ชั่ววูบ โดยยอมรับว่าทำจริง แต่ไม่ได้ทำอะไรรุนแรงขนาดนั้น ส่วนที่บีบคอนั้นผมยืนยันว่าไม่ได้บีบคอ แค่ปิดปากเนื่องจากเด็กร้อง เราจับน้องให้เงี่ยบแต่น้องไม่ยอม ซึ่งตนเองยืนยันว่าไม่ได้เสพยา ใน่สวนที่ทำร้ายเด็กเพราะเด็กงี่เง่า โดยเด็กเป็นลูกของแฟนผม ไม่ใช่ลูกผม ซึ่งหลังจากทำร้าย ผมก็ซื้อขนมมาให้ เเล้วผมก็ดูแลเขาเหมือนลูก เคยล้างก้น อะไรให้ด้วย ในส่วนที่บอดว่าถ้าเลิกจะทำร้ายทั้งครอบครัว อันนี้ผมยอมรับว่าเคยพูด แต่การกระทำแบบนั้นไม่มี ผมยังเคยบอกเขาว่า ถ้าเราจบด้วยกันดีดีไม่ได้ก็จะทำประมาณนั้น คือถ้าเราจบดีดีด้วยกันไม่ได้ก็จะเป็นไปด้วยเรื่องของอารมณ์ ในส่วนที่กีดหน้า ผมยอมรับว่าทะเลาะกับแม่ และเคยแม่ไล่ออกจากบ้าน โดยส่วนเรื่องปมตอนเด็กก็ไม่เกี่ยวกับพ่อแม่ เป็นที่ตัวผมเอง ส่วนลูกคนโต ก็มีตีบ้างเพราะแกล้งน้อง ซึ่งตนเองใช้แค่มือ ไม่ได้มีอะไรอย่างอื่น วึ่งตนเองก็มีลูกแต่ลูกผมอยู่กับแม่เขา โดยถ้าเป็นลูกตนก็คงทำถ้าแกล้งน้อง แต่ตนเองไม่เคยทำร้ายลูกของตนแบบนี้
ส่วนทางด้าน นายมานพ รุ่งเรือง อายุ 72 ปี คุณตา กล่าวว่า แฟนใหม่ลูกสาวพึ่งย้ายเข้ามาอยู่ได้ไม่กี่เดือน วึ่งพฤติกรรมแบบนี้ตนเองไม่เคยเห็นมาก่อน พึ่งจะมาเห็นจากคลิปที่ คุณเอก สายไหมเอาให้ดู ซึ่งถ้าเป้นแบบนี้ก็คงอยู่ด้วยกันไม่ได้ ก็ให้ตำรวจดำเนินการไปเลย ผมเองไม่เคยเห็นเลย เพราะตนเองอยู่ด้านล่าง ส่วนเขาอยู่บนบ้าน ส่วนพฤติกรรมความรุนแรงแบบนี้ก็ไม่เคยเห็นมาก่อน ส่วนเรื่องทะเลาะกันก็ไม่เคยเห็น ซึ่งเห็นว่าหลานถูกทำร้าย ก็เอาไปเลยดีกว่าผมก็ไม่ชอบพวกคนแบบนี้อยู่แล้ว
ด้าน นางสาวนันทวดี รุ่งเรือง อายุ 29 ปี กล่าวว่า เขาใช้แต่ความรุนแรง พูดไม่ได้เถียงไม่ได้ ยิ่งถ้าหนูไม่ตอบก็จะกระตุ้นด้วยการตบตี ซึ่งมีปัญหาแบบนี้เป็นมาตั้งแต่เดือนแรกเลย ซึ่งถ้ามีปัญหาหรือหงุดหงิด ซึ่งเราต้องคอยดูแลเขาตลอด ซึ่งถ้ามีปัญหาก็ทำเลย ส่วนกับลูกถ้าร้องก็จะโดน ไม่ว่าจะร้องไห้ ด้วยเรื่องอะไรก็ตาม ซึ่งบนเตียงเราจะนอนเรียงกัน ถ้าคนโตดิ้นไปโดนเขาๆก็จะหยิก โดยที่อยู่กับเขานั้นเพราะหนูเอาเขามาอยู่ด้วยแล้ว น้ำท่วมปากและไม่กล้าบอกพ่อด้วย ก็พยายามหาทางออกด้วยการบอกเพื่อน ซึ่งเรื่องเสพยาไม่มีแน่นอน ไม่กินเหล้าด้วย ส่วนเรื่องที่เขาชอบกรีดหน้าตัวเองนั้น เขาเคลเล่าให้ฟังว่า เคยทะเลาะกับแม่แล้วถูกไล่ออกจากบ้านก็เลยระบายตัวเอง ซึ่งเขาอ้างว่าเป็นอย่างนั้น ซึ่งตัวเองก็เคยบอกกับเขาแล้วว่าอย่าเอาวิธีที่แม่ของเขาทำร้ายเขามาใช้กับลูกของหนูไม่ได้ แต่เขาก็ไม่เชื่อบางครั้งเขาก็ตีตนเองด้วยตัวเองพยายามห้ามแต่เขาก็ไม่ฟังและครั้งที่รุนแรงที่สุดคือปิดปากและพยายามบีบคอลูกของตนเองเส้นทางที่ร้ายแรงที่สุดตนเองถูกทำร้ายจนเย็บ 5 เข็มบริเวณคิ้วหลังจากนี้ตนเองไม่เอาอีกแล้วและเขาก็เคยข่มขู่ว่าถ้าต้องเลิกกันก็ต้องมีของเสียหายหรือใครต้องเป็นอะไรสักคนหนึ่ง เมื่อกี้ขณะที่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมตัวไปเขายังหันมาถามเลยว่าอุ้มเป็นคนแจ้งเหรอ และเขาก็พยายามดูโทรศัพท์ของตนเองตลอดและก็ตนเองก็หาวิธีอยู่ตลอดว่าจะเอาเขาออกจากชีวิตยังไง ซึ่งตัวเองก็ได้ขอความช่วยเหลือไปทางพ่อของเด็กซึ่งเป็นแฟนเก่าของตนเองแต่ทางพ่อของลูกนั้นไม่ถูกกับพ่อของตนเองและก็บอกว่าจัดการเอาเองซึ่งเวลาเขาทำร้ายลูกของตนเองหรือตนเองก็จะทำเวลาที่พ่อไม่อยู่ ซึ่งหนูยืนยันว่าอย่างก็ตามจะไม่กลับไปคบกับผู้ชายคนนี้อีกอย่างแน่อน
นางสาวสุภชา พรหมศร หัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวจังหวัดปทุมธานี กล่าวว่า ตอนนี้ก็เข้าสู่ พรบ การคุ้มครองเด็ก พ่วงด้วย พรบ ความรุนแรงในครอบครัว จากนี้ก็จะได้นำตัวไปที่ สภ.คลองหลวง เพื่อดำเนินคดีกับแฟนของน้องผู้หญิง แล้วก็จะดูอีกทีว่าทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะแจ้งข้อหาอะไร ส่วนน้องก็ไม่ประสงค์เข้ารับการคุ้มครอง ก็จะต้องวางมาตราการความคุมครอง เพราะว่าถ้าผู้ชายไม่โดยจับก็จะมีมาตราการเพื่อไม่ให้ผู้ชายเข้ามายุ่งเกี่ยวอีก ซึ่งตอนนี้ก็เป็นความประสงค์ของน้องผู้หญิงว่าจะเลิก ซึ่งตอนนี้ก็จะให้เจ้าหน้าที่ตำรวจให้เบอร์ติดต่อหากเข้ามาอีกก็ต้องให้เจ้าหน้าที่ตำรวจเข้ามาช่วยเหลือ จากการสอบถามในเบื้องต้นว่าถ้าคุณพ่อเขาอยู่ทางผู้ชายก็จะไม่ทำ โดยข้อหาของทางเรา ก็จะต้องให้แม่ไปแจ้งความ และจะเอาเด็กไปตรวจร่างกาย โดยก็จะมีข้อหา ทำร้ายร่างกายผู้อื่น และทำร้ายร่างกายเด็กอายุต่ำกว่า 18 ปี
ทางด้าน เอก สายไหม กล่าวว่า อย่างอื่นเลยก็ขอขอบคุณเพื่อนๆของคุณแม่ร้ายนี้ ที่ทราบข่าวแล้วไม่ได้นิ่งเฉยต่อความรุนเเรงที่เกิดขึ้น ก็แจ้งมาที่เพจสายไหมต้องรอด พร้อมกัยส่งคลิปวีดีโอมาด้วย ซึ่งคลิก ผมได้ส่งให้กับทางหัวหน้าบ้านพักเด็ก และทางเจ้าหน้าที่ตำรวจไปแล้วด้วย ซึ่งอันนี้ก็ชัดเจนในส่วนของเรื่องการทำร้ายร่างกาย ผมว่าต้องไปดูซึ่งมีอยู่คลิปนึง ที่พ่อเลี้ยงเอามือปิดปากและบีบคอเด็กจนนิ่งไปเลย ก็จะต้องไปสอบพฤติการของเขาว่าเป็นการตั้งใจทำอะไร ว่าจะเข้าข่ายในแง้กฎหมายที่มากไปกว่านี้ไหม ผมว่าว่าพฤติกรรมที่ทำผมว่ามันเลวร้ายมากนะครับ ที่ผมได้สอบถามว่าถ้าเป็นลูกคุณ คุณจะทำไหม เขาบอกว่าก็ไม่ทำนะ เขาบอกว่าเขาไม่เคยทำลูกเขาแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็แสดงว่าที่คุณทำเพราะไม่ใช่ลูกของคุณ ซึ่งพฤติกรรมแบบนี้ต้องเอาให้หนัก เพราะถ้าปล่อยไว้แบบนี้ เป็นภัยสังคม และไม่เกิดผลดีต่อสังคม ผมมองว่าแบบนี้ต้องเอาไปดัดนิสัยในคุกก่อน แล้วก็อยากฝากหัวหน้าบ้านพักเด็กและครอบครัวไว้ ผมไม่แน่ใจว่ากรอบของกฎหมายวันนี้ทางสภ.คลองหลวง ว่าจะรับสารภาพไหม แต่ผมว่าก็ต้องรับเพราะหลักฐานในคลิปมันชัดเจน รับแล้วฝากขังเลยได้เลยไหม หรือจะปล่อยตัวชั่วคราว ถ้าเกิดว่าพนักงานสอบสวนเอาไปฝากขังก็คงไม่มีใครมาประกันตัวอยู่แล้ว แต่ถ้าปล่อยตัวชั่วคราว แล้วเรียกมารับทราบข้อกล่าวหาอีกทีเนี้ย ผมอยากให้ท่าหัวหน้าเอาแม่และน้องเข้ารับความคุ้มครองไว้ก่อนซัก 1-2 อาทิตย์ ในระหว่างที่ดำเนินกับตัวผู้กระทำผิด เพื่อให้ความปลอดภัยกับครอบครัวนี้ด้วย และฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพี่น้องประาชนทุกคน ที่พบเห็นพฤติกรรมแบบนี้อย่าเพิ่กเฉย อย่ามองว่าเป็นเรื่องในครอบครัว พ่อตีลูก แม่ตีลูก พ่อเลี้ยงตีลูก ขออย่าเพิกเฉย เพราะว่าพฤติกรรมความรุนแรงในลักษณะนี้ เท่าที่ผมเคยเจอมาไม่มีเบาลง มีแต่จะเเรงขึ้น จนหลายครั้งถึงแก่ความตายด้วย
หลังจากนั้น ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เชิญตัว นายชัยพร ประชาสุข หรือไผ่ อายุ 28 ปี ไปทำการสอบสวนที่โรงพัก ในสวนของแม่และเด็กทาง เพจสายไหม และ บ้านพักเด็กจังหวัดปทุมธานี ได้พาตัวไปยัง สภ.คลองหลวง เพื่อที่จะให้ดำเนินการแจ้งความเอาผิดกับพ่อเลี้ยงรายนี้
ทางด้าน พ.ต.อ.อธิเมศร์ ไชยศรัญวิชญ์ ผกก.สภ.คลองหลวง กล่าวว่าหลังจากสอบปากคำเสร็จแล้ว จะนำตัวฝ่ายชายไปทำการตรวจร่างกาย แล้วก็ปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งในเบื้องต้นจากการตรวจสอบประวัติไม่เคยประวัติเกี่ยวข้องกับยาเสพติด ส่วนเด็กชายทางเจ้าหน้าที่ตำรวจจะได้นำตัวไปตรวจร่างกายพร้อมกับคุณแม่ เพื่อรอผลจากแพทย์เพื่อเอามาประกอบในสำนวน เพื่อดำเนินคดีส่งตัวไปที่อัยการ เพื่อพิจารณา ส่งฟ้องศาลในข้อหาทำร้ายร่างกายต่อไป
Share this content: