กฟผ. ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน  ประสานพลัง ฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ  เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ตามแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พัฒนาวิสาหกิจชุมชน มุ่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ สู่ท้องตลาด

กฟผ. ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน  ประสานพลัง ฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ  เดินหน้าขับเคลื่อนการพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ประชาชน ตามแนวสายส่งไฟฟ้าแรงสูง พัฒนาวิสาหกิจชุมชน มุ่งผลิตสินค้าเกษตรปลอดสารพิษ สู่ท้องตลาด

       ในช่วงบ่ายของวันที่ 18  มิถุนายน  2568 ณ บริเวณโรงเรือนปลูกผักอินทรีย์กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12  ตำบลไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.)     ฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน ร่วมกับ ฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ จัดพิธีส่งมอบระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร    ซึ่ง กฟผ. กำหนดจัดพิธีส่งมอบ ให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12 อย่างเป็นทางการ ภายหลังที่ได้ดำเนินการพัฒนาระบบบริหารจัดการน้ำ เพื่อรองรับการเพราะปลูกพืชแบบเกษตรอินทรีย์  มาตั้งแต่ช่วงเดือน เมษายน 2568 ที่ผ่านมา โดยในโอกาสดังกล่าว  ได้รับเกียรติจาก  นาย สมชัย เลิศประสิทธิพันธ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เดินทางมาเป็นประธานในพิธี ซึ่งเมื่อประธานในพิธีเดินทางมาถึง นายประจักร จินดาจำรูญ  นายอำเภอเด่นชัย ได้กล่าวต้อนรับ จากนั้น นายนำพล  โพธิวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน    การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย ในฐานะผู้แทน กฟผ. กล่าวรายงานถึง การดำเนินงานพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯ ที่ กฟผ.ได้เข้ามาดำเนินงานในพื้นที่  จนในปัจจุบัน กลุ่มได้มีการยกระดับการพัฒนาการปลุกพืช ไปสู่การปลูกพืชตามแนวทางเกษตรอินทรีย์ ซึ่งส่งผลต่อรายได้ของประชาชนในพื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้น และสามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งเป้นไปตามแผนยุทธศาสตร์ของ กฟผ. ที่ต้องการส่งเสริมให้ภาคประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีบนพื้นฐานของความยั่งยืน ต่อจากนั้น  นายนำพล โพธิวงศ์  ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยืน ร่วมกับ นายฐนดล สังข์ทอง  ผู้อำนวยการฝ่ายปฏิบัติการภาคเหนือ ได้ร่วมกันส่งมอบระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ให้แก่ ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ เพื่อส่งมอบต่อไปยัง ผู้แทนกลุ่มกลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12  ตำบลไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่ เพื่อนำใช้งานในกระบวนการผลิตผักปลอดสารพิษ ตามแนวทางเกษตรอินทรีย์  ต่อไป  ภายหลังจากพิธีการส่งมอบสิ้นสุดลง ผู้ว่าราชการจังหวัดแพร่ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร กฟผ. หัวหน้าส่วนราชการตลอดจนผู้แทนภาคประชาชน ได้เข้าตรวจเยี่ยม โรงเรือนปลูกผักอินทรีย์ พร้อมร่วมปลุกต้นยมหิน เพื่อเป็นที่ระลึก  นอกจากนี้ยังได้ร่วมตรวจเยี่ยมพื้นที่ส่งเสริมฟาร์มปศุสัตว์ และ ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ จากมูลเพาะ ซึ่งเป็น โครงการที่ กฟผ. สนุบสนุนชุมชน พัฒนาจนเป็นที่ยอมรับของตลาด เพื่อเป็นการให้กำลังใจแก่สมาชิกของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12  ตำบลไทรย้อย อ.เด่นชัย จ.แพร่

         เกี่ยวกับ การพัฒนากลุ่มวิสาหกิจชุมชนในพื้นที่ รวมถึงการการจัดพิธีส่งมอบระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ที่จัดขึ้น นายนำพล โพธิวงศ์  ผู้อำนวยการฝ่ายกลยุทธ์ความยั่งยื่น ได้เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า “กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12 เป็นกลุ่มที่มีพื้นฐานมาจาก ยุทธศาสตร์การพัฒนาคุณภาพชีวิตของ กฟผ.ที่ต้องการพัฒนาให้ประชาชนในพื้นที่ต่างๆ ที่ กฟผ.เข้าไปปฏิบัติงาน ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นรวมถึงดำรงชีพได้อย่างมีความสุข ปลอดภัยจากสารเคมี และมีช่องทางในการประกอบอาชีพเสริม โดย กฟผ. ได้เชิญชุมชนบ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12 ตำบลไทรย้อย อำเภอเด่นชัย จังหวัดแพร่ เข้าร่วมโครงการชีววิถีเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2557 โดยร่วมมือกับวิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยีแพร่ ในการสนับสนุนส่งเสริมองค์ความรู้ในการทำเกษตรกรรมแบบปลอดภัย ลด ละ เลิก การใช้สารเคมี ดำเนินชีวิตตามแนวทางหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง ของในหลวงรัชกาลที่ 9 ซึ่งกลุ่มชีววิถีชุมชนบ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12 ได้มีการพัฒนาต่อยอดมาเป็นลำดับ จนในปี 2561 ได้รับ รางวัลชนะเลิศ จากสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ในงานประชุมองค์กรเกษตรในอนาคตแห่งประเทศไทยระดับชาติ (อกท.ชาติ) ซึ่งถือเป็นชุมชนต้นแบบให้กับชุมชนอื่นๆทั่วทั้งภูมิภาคและในขณะเดียวกัน กฟผ. ได้ดำเนินการส่งเสริมและพัฒนากลุ่มฯมาอย่างต่อเนื่อง   โดยในปี 2568 กฟผ. ได้เข้าร่วมในกลุ่มเครือข่ายผักปลอดภัย PGS น่าน เพื่อผลิตผักปลอดสาร จำหน่ายให้กับบริษัทเลม่อนฟาร์ม ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระยะปรับเปลี่ยนจากการปลูกพืชโดยใช้สารเคมี เป็นปลูกพืชวิถีอิทรีย์ และเพื่อให้การดำเนิน งานของกลุ่มวิสาหกิจชุมชนฯเป็นไปอย่างต่อเนื่อง กฟผ.จึงสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุงระบบบริหารจัดการน้ำเพื่อการเกษตร ให้แก่กลุ่มวิสาหกิจชุมชนชีววิถีเกษตรอินทรีย์ บ้านไทรย้อย หมู่ที่ 12 เพื่อให้สามารถบริหารจัดการน้ำในการเพาะปลูกได้อย่างเพียงพอ”