









ปรีชา/จ.ราชบุรี
ข่าว ชาวบ้านต้องสูดดมควันกะลามาหลายปี ร้องเรียนมา 5 นายอำเภอยังไม่ได้รับการแก้ไข
ในวันนี้(11 พ.ค. 68) ผู้สื่อข่าวได้รับการร้องเรียนจากชาวบ้านในต.ยางหัก อ.ปากท่อ จ.ราชบุรี ว่าชาวบ้านต้องทนสูดดมควันกะลามานานนับ 10 ปี แม้จะไปร้องเรียนหน่วยงานหลายแห่งแต่ก็ไม่มีการเข้ามาแก้ไขปัญหาอย่างจริงจัง และจะยิ่งทำให้กิจการเผาถ่านกะลายิ่งเติบโตมากขึ้นขยายพื้นที่ออกไปจำนวนมากและยังมีนายทุนต่างชาติเข้ามาดำเนินกิจการเผาถ่านกะลาเองจนตอนนี้ในพื้นที่ตำบลยางหักนั้นปกคลุมไปด้วยควันกะลา ไม่ใช่หมอกควันตามธรรมชาติที่หลายคนเข้าใจ
ซึ่งช่วงเช้าวันนี้ผู้สื่อข่าวได้นำโดรนชึ้นบินสำรวจก็พบว่ามีโรงงานเผากะลาหลายแห่งและแต่ละแห่งก็จะแข่งกันปล่อยควันออกมาจนทำให้พื้นที่บริเวณดังกล่าวนั้นเต็มไปด้วยควันกะลา และยังส่งกลิ่นเหม็นควันไฟไปทั่ว
ต่อมาช่วงเที่ยงนายธีรเกียรติ ทะแพงพันธ์ ปลัดศูนย์ดำรงธรรมอำเภอปากท่อ พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่อบต.ยางหักได้เข้าไปพูดคุยหาข้อมูลความเดือดร้อนจากชาวบ้านในพื้นที่ เนื่องจาก นายธีรเกียรติ นั้นเพิ่งจะมารับตำแหน่งปลัดศูนย์ดำรงธรรม และมีเรื่องควันกะลาร้องเรียนเข้าไป โดยให้ชาวบ้านได้พูดถึงเรื่องความเดือดร้อนที่ได้รับจากควันกะลา และจะนำเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมเพื่อให้ทางนายอำเภอปากท่อได้รับทราบและจะได้เร่งดำเนินการแก้ไขปัญหาให้กับชาวบ้านอย่างเร่งด่วน และเพิ่งจะทราบว่าเรื่องควันกะลานั้นมีการร้องเรียนมานานแล้วทั้งนี้ทราบว่ามีการทำข้อตกลงระหว่างหน่วยงานภาครัฐกับผู้ประกอบการจำนวน 4 ข้อ คือ ให้ผู้ประกอบกิจการทำสเปรย์น้ำตลอด 24 ชั่วโมงเพื่อไม่ให้ควันฟุ้งขึ้นด้านบนและให้มีความชื้นในอากาศก็จะช่วยลดปริมาณควันลงได้ ให้ทำการปิดปล่องควันที่ไม่ได้ใช้แล้วโดยให้ใช้ปูนปิดให้แน่นหนา ให้ทำการซ่อมปล่องควันที่ชำรุดเพื่อไม่ให้มีควันเล็ดลอดออกมา ให้เจ้าหน้าที่สามารถเข้าไปตรวจสอบได้ตลอด 24 ชั่วโมง และหากยังมีการฝ่าฝืนจะต้องมีคำสั่งให้หยุดเป็นเวลา 7 วัน จะกว่ามีการแก้ไขให้เรียบร้อย ซึ่งข้อตกลงทั้งหมดมีการทำตั้งแต่เดือนเมษายนที่ผ่านมา แต่วันนี้ยังมีควันไฟลอยคละคุ้งอีก จึงต้องเข้ามาดูและมารับทราบปัญหาของชาวบ้านเพิ่มเติมด้วย
จากการสอบถามนายสมยศ น้อยวัน ชาวบ้านในหมู่ 3 ต.ห้วยยางโทน อ.ปากท่อ ซึ่งมีพื้นที่ติดกับต.ยางหักและใกล้กับพื้นที่เผาถ่านกะลา ก็บอกว่า ช่วงแรกๆที่มาอยู่ก็คิดว่าเป็นหมอก แต่พออยู่ไปก็เริ่มแสบตา แสบจมูก หายใจไม่ออก ที่ผ่านมาหลังไปร้องเรียนก็จะมีหน่วยงานเข้ามาแต่ก็ยังไม่ได้รับการแก้ไขอะไร เป็นอย่างนี้มานานแล้วตนอยากจะไปแจ้งม.157 กับเจ้าหน้าที่เหลือเกิน ที่ผ่านมาตนเสียค่าฌาปนกิจศพของหมู่บ้านศพละ 50 บาท 1 เดือนจะเสียอยู่ประมาณ 600 บาท คือประมาณ 12 ศพ แต่ในปัจจุบันเสียเดือนละประมาณ 2000 บาท มันเพิ่มขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว เชื่อว่าสาเหตุการตายน่าจะมีส่วนมาจากการสูดดมควันกะลามานาน และชาวบ้านส่วนใหญ่ก็จะรอน้ำฝนเอาไว้ใช้อุปโภคบริโภคซึ่งมันเข้าไปสะสมในร่างกาย และหากรอน้ำฝนทิ้งไว้นานๆจะมีสารบางอย่างลอยอยู่บนน้ำในกะละมัง ซึ่งก็ไม่อยากให้เขาเลิกเผาแต่อยากให้มีการปรับปรุงและไม่ให้มีควันออกมารบกวนชาวบ้านอีก
ด้านนายสำเริง สำเรือง ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 7 ต.ยางหัก อ.ปากท่อ ก็บอกว่าทุกวันนี้ชาวบ้านเดือดร้อน เพราะสูดดมควันกะลาจนทำให้มีปัญหาสุขภาพเป็นภูมิแพ้ เป็นระยะเวลานานแล้วที่ร้องเรียนกว่า 10 ปี ร้องมา 5 นายอำเภอ แต่ก็เงียบมาจนถึงตอนนี้ เห็นว่าตอนนี้มีการเปลี่ยนนายอำเภอ เปลี่ยนปลัดคนใหม่ ก็จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้าง หน่วยงานราชการสั่งให้ผู้นำชุมชนแจ้งชาวบ้านห้ามเผา ตอซัง ห้ามไม่ให้เผาอะไรที่ทำให้เกิดควันเพราะกำลังมีปัญหาเรื่องของ PM2.5 แต่ถ่านกะลาเผาได้ 24 ชั่วโมง ซึ่งหน่วยงานราชการกลับไม่ได้สนใจ และที่ได้รับทราบข่าวมาว่า ไม่ใช่ชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้นที่ประกอบกิจการเผาถ่านกะลาขาย แต่มีนายทุนต่างชาติเข้ามาซื้อกิจการแต่ให้คนในพื้นที่ทำ จนทำให้ตอนนี้มีควันเพิ่มากขึ้นกว่าเดิม และถ้าเป็นไปได้ก็อยากจะให้ปิดกิจการไปเพื่อลดปัญหาความเดือดร้อน หรือหากทำเป็นเตาไร้ควันได้ก็จะดี ซึ่งวันนี้ที่มีหน่วยงานเข้ามาพูดคุยก็อยากจะให้มีการดำเนินการที่เป็นรูปธรรม โดยให้เวลา 7 วันในการให้ทางผู้ประกอบกิจการปรับปรุง ซึ่งที่ผ่านมานั้นมองว่า อบต.ยางหัก นั้นไม่มีประสิทธิภาพเพราะชาวบ้านร้องเรียนไปกี่ครั้งเรื่องก็เงียบ ก้อยากให้ทางอุตสาหกรรมเข้ามาดำเนินการแทนหากมันไปเกี่ยวข้องกับทางอุตสาหกรรม ซึ่งทางรพ.สต.ยางหัก ก็สอบถามมาว่าในช่วงนี้ทำไมมีผู้ป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจมากขึ้นกว่าเดิมเรื่อยๆ จึงได้แจ้งให้มาดูในพื้นที่ว่าสูดดมควันกะลาทุกวันยังไงก็ป่วย ตอนนี้คนที่เดินทางผ่านต.ยางหัก ก็ต้องบอกว่าควันที่ท่านเห็นลอยไปทั่วนั้นไม่ใช่หมอกแต่มันควันกะลา
นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวได้ไปสอบถามพระสมภพ อภิวัณโณ เจ้าอาวาสวัดเขาพุนก ซึ่งอยู่คนละฟากภูเขาที่มีการเผาถ่านกะลา ก็บอกว่า ได้รับผลกระทบจากควันกะลา โดยเฉพาะช่วงเช้ามืดกับช่วงค่ำซึ่งมีกลิ่นรุนแรงมาก จนทำให้ตอนนี้ที่วัดแทบจะไม่มีพระอยู่ตอนนี้เหลือพระแค่ 2 รูป เพราะหลายรูปเป็นภูมิแพ้ก็อยู่ไม่ได้ต้องย้ายวัด โดยเฉพาะเวลาตากผ้ากลิ่นก็จะติดตามจีวรเวลาออกไปรับกิจนิมนต์ด้านนอกกลิ่นก็จะติดจีวรออกไป ซึ่งอาตมามาอยู่ที่วัดนี้ 5 ปี แล้วก็ประสบปัญหาแบบนี้มาตลอด แต่ทราบว่าปัญหาควันกะลานั้นมีมาก่อนที่อาตมาจะมาอยู่ช่วงแรกก็ทนไม่ไหวเตรียมจะย้ายวัด แต่มีชาวบ้านมาขอร้องให้อยู่เพราะที่วัดนั้นไม่มีพระอยู่เลย ก็เลยต้องทนอยู่กับสภาพอากาศแบบนี้ ซึ่งช่วงที่กาอาศกดก็ต้องอยู่แต่ในกุฎิแล้วปิดประตู หน้าต่าง ซึ่งมีโยมซื้อเครื่องฟอกอากาศมาให้ก็พอช่วยได้ ก็พยายามหาวิธีช่วยเหลือตัวเองอยู่เพราะกลัวว่าหากไม่อยู่จะกลายเป็นวัดร้าง
Share this content: